วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

การเลือกส่วนประกอบเครื่องสำอางค์ให้เหมาะกับผิวหน้า


  1. เลือกส่วนประกอบที่ผสมง่าย เนื่องจากเราเป็นมือสมัครเล่น อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้อาจจะไม่มีความสมบูรณ์นัก เลือกส่วนประกอบที่ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก แต่ได้ผลดี เพราะฉะนั้นหากเป็นส่วนผสมที่ต้องใช้ความร้อนละลาย หรือต้องมีวิธีผสมพิเศษ ก็ควรจะเลี่ยง ดูง่ายๆ คือ อ่านวิะีการผสมหรือวิธีการใช้ ภายใต้รายละเอียดของผลิตภัณฑ์แต่ละตัว ถ้าอ่านดูแล้ว ท่าทางจะยุ่งยากก็เลี่ยงซะดีกว่า นอกจากถ้าชำนาญแล้วก็ลุยเลย
  2. เลือกส่วนประกอบหลายๆ ตัว ใส่อย่างละเล็กน้อย ดีกว่าใส่น้อยตัว แต่ใส่เยอะๆ เพราะว่าส่วนประกอบแทบทุกตัว มี Limit ของมันอยู่ สมมติว่าเราผสมสาร active ชนิดหนึ่งที่ 5% การเพิ่มให้เป็น 10% ก็มักจะไม่ได้ให้ผล 2 เท่า ของ 5%
  3. ไม่ใส่มากจนทำให้ผลิตภัณฑ์มีเนื้อข้น หรือเหนียว เพราะเวลาใช้ เราจะรู้สึกไม่สบายผิว เหนอะหนะ และสุดท้ายก็อาจจะเลิกใช้ ก็จะเสียของเปล่าๆ นะ แต่มากน้อยเท่าไหร่ จริงๆ อยู่ที่แต่ละคน ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเป็นเจล ให้มีน้ำอย่างน้อย 70% ก็ถือว่ายังดีอยู่ ต่ำไปกว่านี้บางทีก็อาจจะเริ่มหนืดเหนียว แต่ก็อยู่ที่ส่วนประกอบที่เราผสมด้วย ถ้าเป็นครีม ตรงนี้ก็ยิ่งจะลำบาก เพราะบางคนก็ชอบให้รู้สึกว่าทาแล้วเหมือนมีอะไรเคลือบผิวบางๆ อยู่ อย่างนี้ก็อาจจะต้องมีน้ำมันซัก 20-30% บางคนไม่ชอบความรู้สึกมีอะไรเกาะอยู่ ก็อาจจะต้องลดสัดส่นน้ำมันลง แล้วใช้น้ำเยอะขึ้น
  4. ไม่เลือกอะไรที่ทำหน้าที่ซ้ำๆ กันหลายๆ ตัว ตัวอย่างเช่น เปปไทด์ลดริ้วรอย หลายๆ ตัว ก็ทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน การที่จะใส่ไปซัก 4 ตัว ก็คงจะเสียเงินเป็น 2 เท่าของการใส่เพียง 2 ตัว ในขณะที่ ผลที่ได้อาจจะดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้น
  5. แบ่งและเลือกส่วนประกอบออกเป็นกลุ่มๆ ตามการทำหน้าที่ วิธีที่ดีที่สุดในการเลือกส่วนประกอบอย่างที่บอก คือ อย่างละนิดละหน่อย 1-2 ตัวทำหน้าที่ A , 1-2 ตัว ทำหน้าที่ B , 1-2 ตัวทำหน้าที่ C ยกตัวอย่าง เปปไทด์ลดริ้วรอย 1 ตัว , ต้านอนุมูลอิสระ 1 ตัว , ผิวขาวกระจ่งใส 1 ตัว , ให้ความชุ่มชื้นผิว 1 ตัว ตรงนี้มีข้อยกเว้นนิดนึง แบบ 1+1 มากกว่า 2 คือ สารบางตัว ทำหน้าที่เสริมกัน ยกตัวอย่างเช่น Natural Moisturizing Factor (NMF) เช่น Sodium Lactate , Sodium PCA , Urea ถ้าผิวแห้งมาก ใส่ทั้ง 3 ตัวเข้าไป ก็จะทำหน้าที่เสริมกันได้เป็นอย่างดีมาก
  6. ยาวิเศษไม่มีในโลก ถึงวันนี้ ยังไม่มีส่วนประกอบใด ที่ทาแล้วสวย ทาแล้วสาว ทาแล้วย้อนเวลากลับไป 10 ปีที่แล้วได้ สิ่งที่ทำได้ คือ การบำรุงและชะลออย่าต่อเนื่อง ให้ผิวมีสุขภาพดี ไม่รับสารต่างๆ ที่มีประโยชน์ คอยบำรุง และชะลอการเกิดริ้วรอย 
  7. ของแพงไม่ได้ดีที่สุดเสมอไป เวลาเลือก อยากให้ลองเลือกส่วนประกอบที่ถูกๆ ก่อน ส่วนประกอบที่ราคาถูกหลายๆ ตัว มีประสิทธิภาพดีมาก ยกตัวอย่างเช่น Vitamin B3 ซึ่งมีราคาไม่แพง แต่ให้ผลดี ถึงขนาด ผลิตภัณฑ์ของ Olay แทบทุกชนิด ที่ขายกันขวดเล็กๆ 500-800 บาท ใช้กันแทบทุกตัวใน Line Regenalist ของเค้า โดยมักจะเป็นส่วนประกอบหลักเลยด้วย เพราะฉะนั้น การที่เราเลือกสรรราคาไม่แพง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้ผลที่ดี
  8. ผิวคนเราแตกต่างกัน ถ้าเพื่อนเราใช้อันนั้นดี ไม่ได้หมายความเสมอไปว่าเราจะใช้แล้วดีด้วย เผลอๆ ใช้แล้วอาจจะแพ้ก็ได้ เพราะฉะนั้น การเลือกและทดสอบ และปรับแต่ง ให้เหมาะกับผิวของเราเอง จะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด โดยค่อยๆ เพิ่มเติมสารที่เราอยากทดลอง และสังเกตุดูการตอบสนองของผิวเราว่าดีเพียงใด มีการตอบสนองหรือไม่ ถ้าไม่มีก็อาจสมควรต้องตัดออกเพราะเสียเงินฟรี แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา
        ทุกอย่างต้องใช้เวลา การที่จะหวังผลว่า ทาครั้งเดียวขาวเลย ตึงเลย พวกนี้ส่วนใหญ่เป็น marketing ทั้งนั้น ขาวในไม่กี่วันยังพอมีความเป็นไปได้ แต่เต่งตึงภายในไม่กี่วัน อันนี้หลอกลวงทั้งนั้น (วิธีการหลอกลวงก็ง่ายมากเลย คือ ผสมสารยกกระชับผิวเข้าไป ทาแล้วก็จะให้ผิวตึง แต่พอล้างออกก็เหี่ยวเหมือนเดิม)
        การเลือกส่วนผสม ส่วนผสมที่สามารถผสมในเจลหรือเอสเซ้นส์ได้ ต้องเป็นส่วนผสมที่สามารถละลายน้ำได้ (ถ้าเป็นผง ก็ต้องเป็นผงที่สามารถละลายน้ำได้ ถ้าเป็นของเหลว ก็ต้องเป็นของเหลวที่สามารถผสมเข้ากับน้ำได้) เนื่องจากเจลหรือเอสเซ้นส์เป็นน้ำล้วน แต่ถ้าเป็นเซรั่ม ครีม หรือ โลชั่น สามารถเลือกส่วนผสมที่ละลายในน้ำมันได้

Patch-test หรือการทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้จริง

        การที่เรายิ่งใส่สารหลากชนิดมากขึ้น ก็ทำให้เรามีโอกาสแพ้ได้มากขึ้น ตรงนี้ไม่ใช่ความผิดของส่วนประกอบนั้นๆ หรือความผิดของผิวเราแต่อย่างใด ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่เหมาะกับเรา หากเป็นคนผิวแพ้ง่าย patch-test ด้วยการทาบนข้อพับ เช่น ที่ข้อพับแขน จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า เราสามารถใช้สารต่างๆ เหล่านั้นบนผิวหน้าเราได้

สารแต่ละตัวที่เลือกจะเข้ากันได้มั๊ย

        การเข้ากันได้ - ไม่ได้ เราดูที่ความเสถียรของส่วนผสมแต่ละตัว ว่าต้องการอยู่ในสภาพใดเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น สาร A ต้องอยู่ใน pH ระหว่าง 4-7 เพราะฉะนั้นสูตรเราผสมเสร็จ pH ก็ต้องอยู่ช่วงประมาณนี้ แต่ถ้าเราต้องการใส่สาร B ซึ่งจะทำงานได้ก็ต่อเมื่ออยู่ใน pH 3-4 (ตัวอย่างเช่น สาร AHA ทั้งหลายที่ไว้ผลัดเซลลืผิวหน้า) แปลว่า สูตรเราต้องให้ pH พอดีที่ 4.0 ถ้ามากไปกว่านี้ AHA ก็ไม่ทำงาน ถ้าน้อยไปกว่านี้ สาร A ก็เสื่อมสภาพ โดยสารแต่ละตัวจะมีรายละเอียดอธิบายอยู่แล้ว ว่าต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ถ้าเราหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับส่วนผสมทุกตัวได้ ก็ไม่ต้องกังวลใดๆ ว่ามันจะไม่เข้ากัน ข้อกำหนดของส่วนผสมแต่ละตัวอ่านได้จากรายละเอียดของส่วนผสมนั้นๆ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เจลหรือเอสเซ้นส์

        เจลหรือเอสเซ้นส์ ส่วนผสม คือ น้ำ + สารบำรุงผิว + สารสร้างเนื้อเจล สำหรับเอสเซ้นส์ ก็แค่ไม่ต้องมีสารสร้างเนื้อเจล เท่านั้นเอง การสร้า...