- ราคาถูกกว่าหลายเท่าตัว เนื่องจากไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการโฆษณา รวมถึงการตลาดมากมาย
- ผลิตภัณฑ์ที่สดกว่า ทำให้ได้ผลดีกว่า เนื่องจากส่วนผสมหลายๆ ชนิด เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม จะทำให้เสื่อมคุณภาพได้ง่าย เช่น เปปไทด์บำรุงผิว ต้องเก็บอยู่ในตู้เย็นเสมอ แต่โดยทั่วไปแล้ว เครื่องสำอางค์ในท้องตลาด ต้องผ่านหลายขั้นตอนตั้งแต่การผลิต จนมาถึงจำหน่ายตามร้านค้า และมาถึงมือลูกค้า ใช้เวลาโดยเฉลี่ย 6 เดือน และอาจต้องผ่านสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น แดด ความร้อน นอกจากนี้ สารบางชนิด เช่น Vitamin C เมื่อผสมอยู่ในน้ำแล้ว จะทำให้เสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพด้อยลงตามเวลา
- สามารถผสมส่วนผสมได้มากกว่า ทำให้มีประสิทธิภาพมากกว่า
- สามารถเลือกส่วนผสมที่เหมาะกับผิวเราได้ดีที่สุด เนื่องจากไม่ใช่ส่วนผสมทุกชนิด ที่จะเหมาะกับผิวของทุกๆ คน สารบำรุงผิวบางชนิดเหมาะกับบางคน แต่ใช้ไม่ด้ผลสำหรับบางคน
- ลดโอกาสการแพ้ เนื่องจาก เราสามารถเลือกส่วนผสม ที่เราไม่แพ้ และหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ทำให้เราแพ้ได้ รวมถึงการไม่ใส่น้ำหอม หรือการไม่แต่งสี ทำให้โอกาสที่ผลิตภัณฑ์จะระคายเคืองผิวมีต่ำลง
- ปลอดภัย และสบายใจ เมื่อเรารู้ว่า สิ่งที่เราใช้บนผิว มีส่วนผสมอะไรบ้าง โดยไม่มีส่วนผสมแปลกปลอม ที่ในบางครั้งผู้ผลิตอาจจะไม่ได้แจ้งบนฉลากได้
จริงๆ แล้วที่สำคัญก็คงมีแต่ ถ้วยผสม (แนะนำว่าเป็นถ้วยแก้ว จะดีที่สุด เพราะสารบางตัวที่เราผสมอาจจะทำปฏิกิริยากับพลาสติกได้) และช้อนคน (แนะนำว่าใช้เซรามิค) นอกจากนี้ ก็ตาชั่งความละเอียดสูง (ระดับ 0.01 กรัม) หรือถ้าไม่มี ก็ใช้ถ้วยตวงก็ได้
นอกจากนี้ หากต้องการผสมสูตรที่ซับซ้อนขึ้น เช่น สูตร AHA อาจจะต้องมี pH meter หรือ กระดาษลิตมัส ได้ทดสอบค่า pH ให้เหมาะสมกับสภาพผิวด้วย แต่ถ้าผสมสูตรบำรุงทั่วไป ไม่ต้องกังวลเรื่อง pH หรือความเป็นกรด-ด่าง เนื่องจาก ส่วนผสมบำรุงผิวแทบทั้งหมด จะมีความเป็นกรดอ่อนๆ อยู่แล้ว ยกเว้นบางตัวจริงๆ ที่เป็นด่างเล็กน้อย pH ที่เหมาะสมกับผิวเราคือประมาณ 4.5 - 6.5 ตราบใดที่อยู่ในช่วงนี้ถือว่า OK แต่ถ้าเป็นกรดหรือด่างเกินกว่านี้ จะเริ่มระคายเคืองผิว ส่วนใหญ่แล้วถ้าเราผสมโดยทั่วไปจะได้ผลิตภัณฑ์ของเราออกมาเป็นกรดอ่อนๆ อยู่แล้ว
การใช้ถ้วยตวงแทนตาชั่น
การใช้ถ้วยตวงแทนตาชั่น ในกรณีที่ไม่มีตาชั่งความละเอียดสูง เป็นการกะประมาณสารได้เท่านั้น เนื่องจาก น้ำหนักของสารต่างๆ มักจะไม่เท่ากับปริมาตร ยกเว้นน้ำบริสุทธิ์เท่านั้นที่ปริมาณจะตรงกับน้ำหนัก (1 กรัม = 1 มิลลิลิตร) แต่เนื่องจากสารต่างๆ ส่วนใหญ่ เราไม่มีความจำเป็นต้องชั่งให้ถูกต้อง 100% เพียงแต่สามารถประมาณเอาได้ว่า เราไม่ได้ใส่เกินอัตราที่กำหนด ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น Vitamin B3 มีข้อกำหนด ว่าเราใส่ได้ 1-4% เวลาสั่งซื้อ ทางบริษัทจะ pack หลอดละ 7 กรัม เราก็นำมาตวงว่าได้กี่ ml. จากนั้นก็หักเอาตามสัดส่วน สมมุติว่า ตวงแล้วได้ 5 ml. ถ้าเราต้องการใช้ 4 กรัม นั่นคือ 57% ของ 5 ml. หรือ เท่ากับ 2.85 ml.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น